วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การเป็นมุสลิม

การทำงานของเราต้อง

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เธอผู้เสียสละ.....



เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้
แม่อุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้
เมื่อคุณอายุ
1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง
เมื่อคุณอายุ
2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา
เมื่อคุณอายุ
3 ขวบ แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น
เมื่อคุณอายุ
4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน
เมื่อคุณอายุ
5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆ(หรือหล่อๆ)ให้คุณไปเที่ยว คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน
เมื่อคุณอายุ
6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่รร. คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า ' ไม่ไป... ไม่ไป... ไม่ไป... ''
เมื่อคุณอายุ
7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว
เมื่อคุณอายุ
8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก
เมื่อคุณอายุ
9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม
เมื่อคุณอายุ
10 ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษและพาไปงานวันเกิดเพื่อน คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง
เมื่อคุณอายุ
11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว(หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู)
เมื่อคุณอายุ
12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อ
เมื่อคุณอายุ
13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า ' แม่นี่...ไม่มีรสนิยมเลย ไม่ต้องกะหนู(ผม)หรอก '
เมื่อคุณอายุ
14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้อง
เมื่อคุณอายุ
16 ปี แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไปเที่ยว
เมื่อคุณอายุ
17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชา คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน
เมื่อคุณอายุ
18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองยันเช้า
เมื่อคุณอายุ
19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณแม่ ด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้
เมื่อคุณอายุ
20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า ' แม่อย่ามายุ่งกะหนู(ผม)เลย '
เมื่อคุณอายุ
21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนู(ผม)ไม่อยากเป็นอย่างแม่ '
เมื่อคุณอายุ
22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา คุณขอบคุณแม่ด้วยการกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณ
เมื่อคุณอายุ
23 ปีแม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆลับหลังว่า ' มันช่างเชยและน่าเกลียดเสียนี่กระไร '
เมื่อคุณอายุ
24 ปี แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่ เมื่อคุณพามา แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า ' แม่จะมายุ่งอะไรกะหนูอีกเนี่ย '
เมื่อคุณอายุ
25 ปี ( สำหรับผู้ชาย)แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' อายคนอื่นเขาน่า แม่ '
(
สำหรับผู้หญิง)แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนูอยากไปอยู่ต่างประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟนโดนไม่มีแม่ '
เมื่อคุณอายุ
30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า ' สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่ '
เมื่อคุณอายุ
40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ คุณขอบคุณแม่และญาติว่า ' ตอนนี้ไม่ว่างเลย '
เมื่อคุณอายุ
50 ปี แม่ชราและไม่สบาย อยากให้คุณดูแล คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า ' มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีกเยอะแยะ '
และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน
จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่
' แม่ '
ไม่มีอะไรมาแทนแม่ได้ แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด
หรือเห็นด้วยกับคุณ แต่ก็คือ ' แม่ ' ของคุณ และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังคุณ ความกังวลของคุณ
ลองถามตัวเองดู คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า
ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน จากงานบ้าน หรือจากงานในครัวของแม่ไหม คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม
รักแม่ให้มาก
แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ เพราะเมื่อแม่จากไป จะเหลือเพียงความเสียใจและความทรงจำเท่านั้น

อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด
รัก ' แม่ ' ให้มากกว่ารักตัวเอง แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็ ' รัก ' ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ ' รูป ' ของแม่เท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อิสลามคือ


อิสลามคืออะไร?

โดยทางภาษา คำว่า "อิสลาม" มาจากรากคำภาษาอาหรับว่า "สะลิมะ" ซึ่งแปลว่า "เขานอบน้อมยอมจำนน, เขา เข้าสู่สันติ, เขาปลอดภัย" ดังนั้น อิสลามจึงมีความหมายว่า "การเข้าสู่ความสงบหรือความสันติ" ซึ่งจะ เป็นไปได้ก็โดย การยอมจำนน ต่อเจตนารมณ์ของอัลลอฮ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่แท้จริงแต่เพียงพระองค์เดียว อันที่จริงแล้ว อิสลามมีได้เป็นแค่เพียง ศาสนาในความหมายที่คนทั่วๆ ไปเข้าใจกัน หากแต่อิสลามเป็นแนวทางการดำเนิน ชีวิตของมนุษย์ในทุกๆด้าน ซึ่งแนวทางนี้อัลลอฮทรงประทานมาให้แก่มนุษย์ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อที่จะนำมนุษย์ ไปสู่ความสันติในโลกนี้และได้รับ ความรอดพ้นในโลกหน้า แนวทางที่ว่านี้เราจะได้ พบจากคัมภีร์อัลกุรอานซึ่งเป็นวจนะของอัลลอฮและจากคำสอนของศาสดามุฮัมมัดในการประทานอิสลามมา ให้แก่มนุษย์นั้นอัลลอฮได้ทรงทยอยประทานผ่านศาสดาต่างๆ เป็นเวลาหลาย ยุคหลายสมัยจน กระทั่งมาสมบูรณ์ ในสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัด และ ในการประทานอิสลามนี้ อัลลอฮ์มิได้ทรงบังคับให้มนุษย์ยอมรับ เพราะพระองค์ได้ทรงประทานสติปัญญาและเจตนารมณ์เสรีอันเป็น ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ให้แก่มนุษย์แล้ว มนุษย์จึงมีสิทธิ์เสรี ในการคิดและตัดสินใจว่าจะยอมรับ หรือปฏิเสธ อิสลาม ใครก็ตามที่ยอมรับและปฏิบัติตามอิสลามก็ได้ชื่อว่าเป็น "มุสลิม" (ผู้นอบน้อมยอมจำนน) ส่วน
ใครที่ปฏิเสธอิสลามก็ได้ชื่อว่า "กาฟิร" (ผู้ปฏิเสธ)

มีอะไรในอิสลาม? ในอิสลาม มนุษย์จะได้พบคำตอบอย่างสมบูรณ์ว่าตัวของเขาคือใคร เขามาจากไหน เขามีฐานะอย่างไร
ในโลกนี้ ใครเป็นคนสร้างเขามา และเขามายังโลกนี้ทำไม เมื่อตายแล้วเขาจะไปไหน ชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไรและเขาจะได้รับผลตอบแทนอย่างไรในสิ่งที่เขาทำไว้หลังจากที่เขาได้ตายลง ซึ่งเรื่องเหล่านี้วิทยาศาสตร์ และลัทธิความเชื่อต่างๆไม่อาจที่จะให้คำตอบได้ชัดเจน ในอิสลาม มนุษย์จะได้รู้ว่าขณะที่เขามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เขาควรจะมีความเชื่ออย่างไร เขาควรจะดำเนินชีวิตอย่างไร จะปฏิบัติตัวอย่างไรกับพ่อแม่ ลูกเมีย ญาติพี่น้อง คนไข้ เพื่อนบ้าน เด็ก และผู้ใหญ่ สัตว์และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเขา ทั้งในยามสงบและยามสงครามในอิสลามมนุษย์จะได้พบวัฒนธรรม ศีลธรรม จรรยามารยาทที่เป็นมาตรฐานอันเดียวกัน ไม่ว่าคนมุสลิมผู้นั้นจะมาจากเผ่าพันธุ์สีผิวหรือพูดภาษาใดก็ตาม ตัวอย่างเช่น การกล่าวสล่ามในการทักทาย การกล่าวนามของอัลลอฮ์ ก่อนกินอาหาร และการทำกิจกรรมต่างๆ การห้ามดื่มสุราก็เป็นข้อห้ามที่เด็ดขาด โดยไม่มีการยกเว้นอนุญาตให้ดื่มในบางโอกาสเป็นต้น ในอิสลาม มนุษย์จะรู้ว่าควรจะแต่งงานกับใคร และใครบ้างที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้แต่งงาน ด้วยการแต่งงานของเขาควรจะเป็นอย่างไร เมื่อมีปัญหาที่จะต้องหย่าร้างเขาควรจะทำอย่างไร จึงจะเกิดความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย เมื่อมีการตาย เขาควรจะจัดการกับศพและทรัพย์สินของคนตายอย่างไร และอื่นๆในอิสลาม มนุษย์จะเห็นอย่างชัดเจนว่า เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าพระผู้เป็นเจ้าแล้ว มุสลิมทุกคนมีความเท่าเทียมกันไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะมาจากชนชั้นหรือสีผิวใด เขาจะได้พบว่ามุสลิมทุกคนมีหน้าที่ต่อพระเจ้าอย่างเท่าเทียมกันและหน้าที่ ดังกล่าวนี้ก็มิได้เป็นของชนชั้นหนึ่งชนชั้นใด และหากเขาต้องการที่จะมีความใกล้ชิดหรือติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้า เขาก็สามารถติดต่อกับพระองค์โดยตรงโดยไม่ต้องอาศัยนักบวชทำหน้าที่เป็นนายหน้าติดต่อให้ และที่สำคัญที่สุดคือในอิสลาม มนุษย์จะได้พบกับอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง และผู้ทรงสร้างเขา ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพอันมากมายมหาศาลให้แก่เขา ผู้ทรงให้ความกรุณาปราณีและความเมตตาแก่เขา ผู้ทรงให้กำลังใจแก่เขาในยามที่เขาต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ผู้ทรงให้หลักประกันในการตอบแทนความดีที่เขาปฏิบัติ ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครเห็นก็ตาม และทำให้เขาไม่รู้สึกท้อแท้ในการที่จะทำความดีต่อไปในอิสลาม มนุษย์จะได้พบวิทยาการแขนงต่างๆ ซึ่งถูกกล่าวไว้ในคัมภีร์กุรอ่าน เมื่อประมาณ 1400 ปีก่อน แต่มนุษย์เพิ่งจะค้นพบความจริงที่เป็นประโยชน์ต่อ มนุษยชาติมาเมื่อไม่ถึง 100 ปีนี่เอง และถึงแม้ปัจจุบัน วิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปมากแค่ไหนก็ตาม ในคัมภีร์กุรอานก็ยังมีสิ่งที่ท้าทายสติปัญญาให้มนุษย์ได้ขบคิดและค้นคว้าต่อไปอย่างไม่จบสิ้น หลักศรัทธาในอิสลาม เริ่มแรกของอิสลามคือการรู้จักพระเจ้า และศรัทธาในพระองค์ เมื่อท่านเริ่มต้นเรียนภาษาใดก็ตาม สิ่งแรกที่ท่านจะต้องเรียนรู้และยอมรับก่อนก็คือ พยัญชนะของภาษานั้น หรือเมื่อท่านจะเริ่มเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สิ่งแรกที่ท่านจะต้องรู้จักก่อนก็คือตัวเลข ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อท่านต้องการจะเรียนรู้อิสลามสิ่งแรกที่ท่านจะเรียนรู้และความรู้จักก่อนก็คือ "อัลลอฮ์" ผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่แท้จริงแต่เพียงพระองค์เดียว และที่เราต้องทำความรู้จักก่อนก็เพราะว่าพระองค์ทรงประทานอิสลามมาให้แก่มนุษยชาติ การรู้จักอัลลอฮ์ คือการรู้จักคุณลักษณะของพระองค์ซึ่งมีกล่าวไว้ในคัมภีร์อัลกรุอ่านถึง99ประการด้วยกัน ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงมีอยู่ดั้งเดิม ทรงเป็นผู้สร้าง ผู้ทรงอภิบาล ผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ ผู้ทรงไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนผู้ทรงยุติธรรม ผู้ทรงเห็น ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตา และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งจะไม่ขอนำมากล่าวในที่นี้ทั้งหมด แต่ขอย้ำไว้ตรงนี้ว่าคนที่จะรู้จักอัลลอฮ์ และเข้าถึงพระองค์ได้นั้นจะต้องใช้สติปัญญาใคร่ครวญอย่างถ้วน ถี่ถึงลักษณะของพระองค์เพราะการมีความเชื่อ หรือศรัทธาในพระเจ้านั้นมิใช่เป็นการเชื่ออย่างมืดบอด แต่มันเป็นเรื่องของการใช้สติปัญญาอย่างมีเหตุผล และเป็นเรื่องที่ไม่เกินสติปัญญาของมนุษย์